SAXS/WAXS Technique Service

Beamline Service

Size Distribution of Nanoparticles | Hermann orientation factor of Block Copolymer | Degree of Crystallinity

3D button. Empty button. 3D illustration.
3D circle button. Empty button. 3D illustration.
3D Home Icon. 3D Home Button.

Personnel Safety System

BL1.3W: Small Angle X-ray Scattering (SAXS)

  • วิเคราะห์ ข้อมูลการกระจายตัวของขนาดอนุภาคนาโนที่แขวนลอยในของเหลว
  • ขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบของบล็อกโคพอลิเมอร์
  • การหาค่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นผลึกของสาร

Size Distribution of Nanoparticles

Hermann orientation factor of Block Copolymer

Degree of Crystallinity

การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ


BL1.3W : การหาค่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นผลึกของสาร (Degree of Crystallinity)


การหาค่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นผลึกของสาร (Degree of Crystallinity)โดยเทคนิคการวัดการกระเจิงของรังสีเอกซ์ที่มุมโต (wide angle X-ray scattering, WAXS)


ของแข็ง คือ สภาวะในทางธรรมชาติของสสารอย่างหนึ่งที่มีลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง และปริมาตรไปตามภาชนะที่ใส่ การที่ของแข็งไม่เปลี่ยนรูปทรงไปตามภาชนะที่ใส่เนื่องมาจากช่องว่างระหว่าง โมเลกุลในของแข็งมีน้อยมาก ซึ่งต่างไปจากกรณีของของเหลวและแก๊สที่มีช่องว่างระหว่างโมเลกุลมากจึงทำไห้ ของเหลวและแก๊สไหลไปตามภาชนะที่ใส่ เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปอีก เราจะพบว่าโมเลกุล หรืออะตอมในของแข็งอาจจะจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบจนเกิดเป็นโครงข่าย ใน 2 มิติ หรือ 3 มิติ ซึ่งโครงข่ายนี้สามารถถูกมองได้ว่าเกิดจากการต่อกันของหน่วยเล็กๆ (unit cell) ที่มีลักษณะเรขาคณิตที่เหมือนกัน เช่น โครงข่ายหกเหลี่ยมแบบรวงผึ้งเกิดจาการต่อกันของหน่วยเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นหกเหลี่ยม ในกรณีนี้เราเรียกของแข็งที่มีคุณลักษณะเชิงโครงสร้างนี้ว่า ของแข็งที่มีลักษณะความเป็นผลึก (crystalline solid) ตัวอย่างเช่น เกลือแกง เพชร ในทางตรงกันข้าม หากโมเลกุล หรืออะตอมในของแข็งจัดเรียงตัวแบบไม่เป็นระเบียบจนเกิดเป็นโครงข่ายที่ไร้ รูปทรงที่แน่นอน และไม่สามารถหาหน่วยเล็กๆ ที่มีลักษณะเรขาคณิตที่เหมือนกันมาต่อกันจนเกิดเป็นโครงข่ายนี้ได้ ในกรณีนี้เราเรียกของแข็งประเภทนี้ว่าไม่มีลักษณะความเป็นผลึก หรือของแข็งอสัณฐาน (amorphous solid) ตัวอย่างเช่น แก้ว หรือ ถาดพลาสติกใส่อาหาร เป็นต้น


ในทางธรรมชาติวัสดุบางชนิดอาจจะไม่ใช่วัสดุที่มีลักษณะความเป็นผลึก หรือ ไม่เป็นผลึก 100 % ซะเลยทีเดียว แต่จะประกอบไปด้วยทั้งส่วนที่เป็นผลึกและไม่เป็นผลึกผสมกันอยู่ภายใน วัสดุ วัสดุบางชนิดเช่นโพลิเมอร์ หรือวัสดุกลาสเซรามิกส์ สามารถถูกสังเคราะห์ขึ้นมาโดยผู้สังเคราะห์สามารถกำหนดสัดส่วนความเป็นผลึก (crystallinity) ได้ โดยสัดส่วนเชิงปริมาตรของความเป็นผลึกในเนื้อสารจะส่งผลถึงคุณสมบัติทาง กายภาพของสารในเรื่องของความแข็งแรงของวัสดุ ค่าความหนาแน่น จุดหลอมเหลวของสาร เป็นต้น ดังนั้นการเข้าใจถึงระดับความเป็นผลึก (degree of crystallinity) ของสารต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ การหาระดับความเป็นผลึกของวัสดุสามารถหาได้จากการใช้เครื่องดิฟเฟอเรนเชีย ลสแกนนิงแคลอริมิเตอร์ (Differential scanning colorimeter, DSC) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางความร้อน (Thermal Transition) ของสารตัวอย่าง เมื่อความร้อนที่ถูกใช้ในการหลอมละลายสารตัวอย่างถูกนำไปเทียบกับความร้อน ที่ใช้ในหลอมละลายสารตัวอย่างที่เป็นผลึกบริสุทธิ์จะให้ค่าเปอร์เซ็นต์ของ ความเป็นผลึกของสารตัวอย่างที่ศึกษา


นอกจากการใช้เทคนิคการวัดค่าพลังงานความร้อนเพื่อหาค่าเปอร์เซ็นต์ของความ เป็นผลึกของสาร อีกเทคนิคหนึ่งที่ยังสามารถทำได้คือเทคนิคการวัดการกระเจิงของรังสีเอกซ์ที่ มุมโต (wide angle X-ray scattering, WAXS) โดยค่าเปอร์เซ็นต์ของความเป็นผลึกของสารสามารถหาได้จากการคำนวณหาอัตราส่วน ระหว่างพื้นที่ใต้ sharppeaks (สีน้ำเงิน) กับพื้นที่รวมระหว่างพื้นที่ใต้ sharp peaks (สีน้ำเงิน) บวกกับพื้นที่ใต้ broad peak (พื้นที่สีเหลือง) ซึ่งพื้นที่ทั้งสองส่วนนี้เกิดจากส่วนที่เป็นผลึกและไม่เป็นผลึกของสารตาม ลำดับดังได้แสดงตามรูปข้างล่าง การหาเปอร์เซ็นต์ความเป็นผลึกของสารด้วยวิธี WAXS นี้จะเหมาะกับสารที่มีความเป็นผลึกค่อนข้างสูงเพราะผู้ทดลองจะต้องเห็น sharp peaks นอกจากนั้นความแม่นยำของค่าที่ได้จากการคำนวณยังขึ้นกับความสมบูรณ์ของการลบ การกระเจิงของรังสีเอกซ์อันเนื่องมาจากตัวกลางอื่นๆ เช่น อากาศ หรือ ตัวกลางที่ใช้ใส่สารขณะทำการทดลอง ออกจาก diffraction pattern ของสารด้วย ดังนั้นแล้วในการหาค่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นผลึกของสารควรใช้ทั้งวิธี DSC และ WAXS ควบคู่กันเพื่อเป็นตรวจสอบและยืนยันผลซึ่งกันและกัน











รูปแสดงรูปแบบการกระเจิงขอรังสีเอกซ์ของสารที่ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นผลึก (สีน้ำเงิน)และส่วนไม่เป็นผลึก (สีเหลือง)

การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ


BL1.3W: ขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบของบล็อกโคพอลิเมอร์


ขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบของบล็อกโคพอลิเมอร์โดยใช้เทคนิคการทดลองการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมเล็ก


บล็อก โคพอลิเมอร์คือพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยบล็อกหรือโซ่พอลิเมอร์อย่างน้อย 2 ชนิดมาต่อกันด้วยพันธะโควาเลนท์ มีคุณลักษณะที่น่าสนใจคือจะมีการแยกไมโครเฟส เกิดเป็นโดเมนระดับนาโนเมตรที่มีโครงสร้างซึ่งมีสภาวะซ้ำกันอย่างเป็น ระเบียบ ซึ่งรูปแบบของโครงสร้างที่ได้จะขึ้นอยู่กับขนาดของบล็อกและการเกิดปฏิกิริยา กันระหว่างบล็อก เนื่องจากบล็อกพอลิเมอร์สามารถสร้างให้มีคุณสมบัติทางกายภาพและคุณสมบัติทาง เคมีที่หลากหลาย จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้หลายอย่าง เช่น structural plastic,blend stabilizer, emulsifier, contact sensitive adhesive, selective membrane, catalyst, optical material เป็นต้น


Small Angle X-ray Scattering (SAXS) เป็นเทคนิคที่ใช้ศึกษาโครงสร้างระดับนาโนเมตร สามารถให้ข้อมูลเรื่องขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบของบล็อกโคพอลิ เมอร์ได้ โดยความเป็นระเบียบในโครงสร้างของบล็อกพอลิเมอร์จะทำให้รังสีเอ็กซ์เกิดการ กระเจิงและแทรกสอดแบบเสริมกันเกิดเป็นแบรกพีคขึ้นใน scattering pattern เราสามารถคำนวณขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบนี้ได้จากตำแหน่งของแบรกพี ค นอกจากนั้นการบันทึก scattering pattern ด้วย detector แบบ 2 มิติจะช่วยให้ทราบถึงทิศทาง (orientation) ของโครงสร้างที่เกิดขึ้นอีกด้วย


ภาพ (a) แสดง SAXS pattern ของบล็อกโคพอลิเมอร์ Poly(styrene-ethylene/butylene-styrene) (SEBS) วัดที่ระบบลำเลียงแสง BL2.2:SAXS/WAXS และ (b) แสดงตำแหน่งแบรกพีคจากการเฉลี่ยเชิงมุมของภาพ (a) ซึ่งให้ค่าเฉลี่ยขนาดคาบของโครงสร้างที่เป็นระเบียบเป็น 32.78 นาโนเมตร

การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ


BL1.3W ข้อมูลการกระจายตัวของขนาดอนุภาคนาโนที่แขวนลอยในของเหลว


หาค่าการกระจายตัวของขนาดอนุภาคนาโนที่แขวนลอยในของเหลวในเชิงปริมาณได้โดยใช้เทคนิคการทดลองการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมเล็ก


ใน กรณีที่รูปทรงของอนุภาคนาโนเป็นทรงเรขาคณิตที่ไม่ซับซ้อน เช่น ทรงกระบอก ทรงกลม หรือว่าแผ่น และทราบขนาดโดยประมาณของอนุภาคเหล่านั้น* สามารถหาค่าการกระจายตัวของขนาดในเชิงปริมาณได้โดยใช้เทคนิคการทดลองการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมเล็ก


อนุภาคที่จะนำมาวัดจะต้องแขวนลอยอยู่ในของเหลว มีความเข้มข้นต่ำ และมีขนาดอยู่ในช่วง 1 ถึง 100 นาโนเมตร ข้อมูลที่ผู้รับบริการได้รับจะอยู่ในรูปแบบของข้อมูลที่ได้จากการวัดดังแสดง ในรูปที่ 1 และฟังก์ชั่นการกระจายตัวที่ระบุว่าขนาดของอนุภาคมีหรือไม่มีการกระจายตัว โดยถ้ามีการกระจายตัวแบบ Gaussian หรือว่า LogNormal** จะสามารถบอกค่าตัวแปรของการกระจายตัว ได้แก่ ขนาดเฉลี่ย x0 และค่าความกว้างของการกระจายตัว σ ได้ ดังแสดงในรูปที่ 2

รูปที่ 1 รูปแบบการกระเจิงของอนุภาคทรงกลมของทองที่มีรัศมีประมาณ 30 นาโนเมตร ด้านซ้ายเป็นภาพสองมิติที่อ่านได้จากหัววัด ด้านขวาเป็นข้อมูลที่ลดทอนลงมาเป็นกราฟหนึ่งมิติ

รูปที่ 2 กราฟการกระจายตัวแบบ Gaussian ของขนาดอนุภาคทรงกลมของทองที่คำนวณได้จากผลการทดลองที่แสดงในรูปที่ 1 จากกราฟนี้ได้รัศมีเฉลี่ยของอนุภาคเท่ากับ 28 ± 3 nm-1 โดยมีความกว้างของการกระจายตัวเป็น 2.483 ± 2 nm-1



*ข้อมูลขนาดโดยประมาณและรูปทรงอาจหาได้จากเครื่องมือการทดลองอื่น เช่น กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน


**จาก ข้อมูลที่เก็บจากการทดลองในรูปแบบดังที่แสดงในรูปที่ 1 ผู้รับบริการสามารถนำไปใช้หาตัวแปรการกระจายตัวที่อธิบายได้ด้วยฟังก์ชั่น อื่นนอกจาก Gaussian หรือว่า LogNormal ได้

Gradient Infographic Label

Reservations Office

Pin
Cellphone Icon
Message Glyph Icon

สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) อาคารสิรินธรวิชโชทัย 111 ถ.มหาวิทยาลัย ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000

โทรศัพท์: 66 44 217 040

siampl@slri.or.th

Gradient hexagon Infographic Label

Office Hours

  • Monday to Friday

8:30 am to 6:30 pm


  • Saturday to Sunday

Close

Gradient Infographic Label

Get

Social